7 ที่เที่ยวอิตาลี เที่ยวครั้งแรก ห้ามพลาดเด็ดขาด
อิตาลี อีกหนึ่งประเทศยอดฮิต ที่เหล่านักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างก็อยากไปเที่ยวสัมผัสความโรแมนติกและความคลาสสิกเป็นอย่างมากทั้งสถาปัตยกรรม สีสันของอาคารบ้านช่อง วัฒนธรรม พาให้เราเคลิ้บเคลิ้มกันโดยเฉพาะอิตาลี ตอนเหนือที่มีเมืองแฟชั่นอย่างมิลาน อุทยานแห่งชาติโดโลไมท์ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO โดยเป็นหนึ่งในเทือกเขาสวยที่สุดในโลก มีสถานที่สวยๆ ขนาดนี้จะไม่ลองไปได้อย่างไร ดังนั้นรีวิวนี้จะพาคุณไปพบกับ 7 สถานที่ อิตาลีตอนเหนือ เที่ยวครั้งแรกห้ามพลาดเด็ดขาด
1. โดโลไมต์ หรือ โดโลมิติ (Dolomites)
สถานที่แรกขอพาออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ขึ้นเขาชมธรรมชาติ จุดเล่นสกีสวยไม่แพ้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะอะไรหรอ เพราะโดโลมิติ อยู่ในแนวเทือกเขาแอลป์ฝั่งอิตาลี อยู่ทางเหนือสุดค่อนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเทือกเขาเดียวกันที่พาดผ่านทั้งประเทศ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย โดโลมิติมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเป็นอย่างมาก ในแต่ฤดูกาลก็จะมีความสวยแตกต่างกันดังนั้นไม่ว่าจะมาเที่ยวช่วงไหนคุณก็จะได้พบความสวยงามแต่แตกต่างกัน และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO เป็นหนึ่งในเทือกเขาที่สวยที่สุดในโลก และเมืองนี้ยังมีความเงียบสงบเพราะนักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยได้ให้ความนิยมมากนักเนื่องจากการเดินทางมาที่เมืองนี้ต้องขับรถมาเท่านั้น หรือหากจะนั่งรถไฟมาก็ลงได้เมืองใกล้ๆ แล้วก็ต้องเช่ารถขับมาอีกที เทือกเขาโดโลมิติเหมาะสำหรับวันพักผ่อนสบายๆ ด้วยความที่เป็นเมืองตากอากาศด้วยทำให้มีครอบครัวและคู่รักมาใช้ชีวิตในช่วงวันหยุดด้วยกัน เดือนที่เหมาะแก่การมาช่วงที่อากาศเย็นสบาย มีแสงแดดอบอุ่น พร้อมเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวอุดมสมบูรณ์ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมษายน – มิถุนายน ส่วนช่วงหน้าร้อนที่นี่ก็ร้อนมากหากใครไม่อากาศร้อนควรหลีกเลี่ยงเดือนกรกฎาคม – กันยายน แต่สำหรับคนอิตาลีหรือฝั่งยุโรปเองจะชอบการท่องเที่ยวในช่วงเดือนนี้ และสำหรับคู่รักที่ต้องการมาเติมความหวานให้กับคู่ชีวิตควรมาช่วงฤดูใบไม้ร่วงของเดือนตุลาคม – ธันวาคม เพื่อมาชมสีสันของใบไม้ ดอกไม้ และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความหนาวเหน็บวางแผนมาเล่นสกีที่นี่ต้องมาช่วงฤดูหนาวเดือนมกราคม – มีนาคม ใครจะมาเที่ยวที่นี่รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
2. ออร์ทิเซ่ (Ortisei)
เมืองเล็กๆ สามารถเดินเท้าเที่ยวได้ทั่วเมือง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของโดโลมิติ ที่มีความน่ารักสวยงามราวกับบ้านตุ๊กตาด้วยดีไซน์และสีสันพาสเทลของบ้านให้ความรู้สึกสดใสมากๆ ถ่ายรูปออกมานี่สวยสุดๆ เมืองออร์ทิเซ่ยังขึ้นชื่อในเรื่องงานฝีมือแกะสลักไม้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะรูปสลักที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา ซึ่งเป็นของฝากที่มีชื่อเสียงของที่นี่ นอกจากนี้ เมืองออร์ทิเซ่เป็นจุดหลักในการเดินทางเนื่องจากใกล้กระเช้า Funivie ortisei ดูวิวมุมสูงชมบรรยากาศสุดอลังการของวิวภูเขาสุดลูกหูลูกตา ด้านบนจะเป็นลักษณะทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ปูพรมไปด้วยใบไม้สีส้มตัดทุ่งหญ้าสุดสายตา มีกลุ่มยอดเขา Sussolungo ยืนเด่นเป็น Landmark ของแถบนี้
3. ทะเลสบโคโม่ (Lake Como)
ได้รับการขนานนามว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี และยังเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของอิตาลี เป็นทะเลสาบที่ลึกเป็นลำดับที่ 5 ของยุโรป ในสมัยก่อนทะเลสาบโคโม่เป็นสถานที่พักผ่อนของเหล่าขุนนางชั้นสูง ราชวงศ์ ซึ่งรอบทะเลสาบนี้มีวิลล่า พระราชวังมากมายทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจากอดีตมาถึงปัจจุบัน ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมิลานนั่งรถไฟมาแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่นี่แล้ว และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเมืองถ้าหากมาถึงแล้วต้องไป มหาวิหารโคโม่ เป็นวิหารโรมันคาทอลิกหลักใจกลางเมือง ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 400 ปี สร้างเพื่ออุทิศให้กับพระแม่มารี พระมหาวิหารแห่งนี้มีความสวยงาม โอ่งโถง มีภาพวาดสมัยศตวรรษที่ 16 ถูกวาดโดย Bernardino Luini และ Gaudenzio Ferrari ถัดมามาดูพิพิธภัณฑ์เมืองโคโม่ สร้างขึ้นเพื่อเกียรติอนุสรณ์ของนักวิทยศาสตร์ผู้ประดิษฐ์แบตเตอร์รี่ไฟฟ้า นามว่า Alessandro Volta ตัวอาคารเป็นการออกแบบสไตล์นีโอคลาสสิก ภายในตัวอาคารได้เล่าเรื่องราวการค้นคว้าและรวบรวมเครื่องมือที่เขาประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมกัน และสถานที่แห่งนี้ติดกับทะเลสาบภูเขาหากเมื่อยล้าจากการเดินชมหาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แล้วสามารถมานั่งพักผ่อนเอาแรงดูวิวสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ได้ อีกสถานที่ที่ต้องไม่พลาดเช่นกัน คือแหล่งช้อปปิ้ง ที่สามารถเดินจากมหาวิทหาร Cattedrale di S.Maria Assunta di Como ได้ ที่นี่มีร้านขายของ ให้คุณได้เดินเพลินๆ ได้ทั้งวันและร้านกาแฟ ร้านอาหาร ให้คุณได้นั่งรับอากาศเย็นๆ สบายๆ จิบชา กาแฟยามบ่ายได้อย่างรื่นรมย์เลย
4.เมืองเวโรน่า (Verona)
เวโรนาเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองหลวงของทางตอนเหนือของอิตาลี เวโรนาเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเหตุที่มีความสำคัญทางศิลปะและวัฒนธรรมที่เห็นได้งานนิทรรศการประจำปีหลายงาน โรงละคร และอุปรากรในโรงละครกลางแจ้งที่สร้างโดยโรมัน นอกจากนี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การ UNESCO มีสมญานามว่า “Little Roman” และเป็นต้นกำเนิดตำนานความรักระดับโลกอย่าง Romeo & Juliet ที่นี่มีบ้าน จูเลียต casa di giulieta กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวโรน่า ส่งกลิ่นอายความรักโรแมนติกไปทั่วเมือง และแน่นอนสถานที่ยอดฮิตเป็นที่เลื่องลือ คือ Casa di Giulietta หรือ บ้านของจูเลียต ตั้งอยู่ที่ถนน Via Cappello จริงๆ แล้วบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตระกูลเดลคาเปลโล (Dell Capello) ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลคาปูเล็ตของจูเลียตในนิยายแม้แต่น้อย แต่วิลเลียม เชกสเปียร์ กวีเอกของโลก ได้หยิบเอามาเป็นฉากในนิยายให้นักอ่านนิยายได้จินตนาการ และกิจกรรมของคนที่มาที่นี่ คือเอามือไปลูบหน้าอกด้านซ้ายแล้วอธิษฐานขอให้รักสมหวังยั่งยืน และยังมีกิจกรรมที่คนชอบทำกันก็คือ การขึ้นไปยืนบนระเบียงหินอ่อนเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่จูเลียตเคยยืนโดยมีโรมิโอมาคอยเฝ้าขอความรัก ที่นี่มีช่วงเวลาเปิดปิด ดังนี้ วันจันทร์ 13.30 – 19.30 น. และอังคาร-อาทิตย์ 8.30 – 19.30 น. ช่วงฤดูที่เหมาะกับการเดินทางมาเที่ยว คือ เดือนมีนาคม – เมษายน เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่ร้อน ฝนไม่ตก อีกสถานที่ในเมืองน่าท่องเที่ยวของเมืองเวโรน่า คือ จตุรัสเวโรน่า ที่นี่มีลานตลาดนัด ขายของฝาก และของฝากขึ้นชื่อ คือหน้ากากหลากหลายแบบนอกจากนี้ที่จัตุรัส Piazza delle Erbe ยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังประวัติศาสตร์แห่งเวโรนา หรือ Palazzo Maffei และมีหอคอยให้ขึ้นไปชมวิวได้ด้วยเรียกว่า Torre dei Lamberti หรือ Lamberti Tower ที่เมืองนี่ยังมีสถานที่ให้คุณท่องเที่ยวอีกมากลองไปดูสักครั้งค้นหาสถานที่สวยงามระดับโลกเปิดประสบการณ์ที่ประทับใจในเมืองเวโรน่า เมืองเล็กๆ โรแมนติกที่สุดในโลก
5. ชิงเกว แตร์เร (La Spezia: Cinque Terre)
Cinque Terre หรือชิงเกว แตร์เรเป็นเมืองติดทะเลในเขต Liguria ซึ่งประกอบไปด้วย 5 หมู่บ้านสีลูกกวาดน่ารัก ๆ อยู่ริมทะเล ประกอบไปด้วย Monterosso al Mare, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore (เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้าน Gelato รสที่แนะนำคือ รสเลม่อน ) เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่ติดทะเลทำให้ทางเดินริมทะเลนั้นสวยมาก มีกิจกรรมทางน้ำให้ทำ เช่นการพายเรือ และบ้านเมืองสีสันสดใส เป็นเมืองที่มีบ้านเรือนสีเหมือนลูกกวาดเช่นกัน บ้านของที่นี่จะเป็นชั้นๆ ซ้อนไล่กันขึ้นไปตามลักษณะที่ตั้งบนเนินเขา ทางเดินท่องเที่ยวรอบเมืองก็เป็นทางเหมือนเดินขึ้นเขา ลัดเลาะตามบ้านคนขึ้นไป ให้ประสบการณ์กับนักท่องเที่ยวที่ชอบเห็นวิถีชีวิตผู้คน และถ้าหากคุณมาเที่ยวในเดือนกรกฎาคมสองข้างทางเดินดอกไม้จะออกดอกสีสันสวยงามสร้างสีสันให้กับถนนเป็นอย่างมาก หากคุณได้มาเที่ยวแล้วแนะนำให้ไปให้ครบทุกหมู่บ้านเพราะว่าแต่ละมุมของหมู่บ้านจะให้วิวทะเลแตกต่างกันในการถ่าย และมองวิวสวยๆ และกิจกรรมที่หลากหลาย แอบกระซิบอีกนิดว่าอาหารทะเลที่นี่ สด และอร่อยมาก
6. เทรวิโซ่ (Treviso)
ใครเป็นแฟนขนมหวานและนักดื่มต้องมาที่เมืองนี้ เมืองนี้เป็นต้นกำเนิดขนมอิตาลีที่ขึ้นชื่อและอร่อยที่สุด คือ Tiramisù ทีรามิซุ และเป็นเมืองต้นกำเนิดเครื่องดื่ม Prosecco โปรเซกโก้ การท่องเที่ยวที่เทรวิโซ๋ต้องบอกว่า คุณจะได้เห็นป้อมปราการที่ยังสมบูรณ์คุณสามารถเดินเล่นรอบๆ ป้อมปราการแห่งนี้ เพื่อดูความเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ตลอดข้างป้อมปราการมีแม่น้ำขนานไปกับป้อม ทำให้บรรยากาศที่เดินเล่นนั้นสดชื่นตลอดเส้นทางเดิน และโบสถ์ที่สวยงาม อาทิ มหาวิหารเตรวิโซ เป็นอาคารที่น่าประทับใจที่สุดในเมืองและมีโดมสีเขียวขนาดใหญ่มองเห็นชัดแต่ไกล ที่ฝั่งตะวันตกของมหาวิหารทางเข้ามีระเบียงแบบเสาที่ดูเหมือนวิหารโรมันโบราณมากกว่าโบสถ์ศตวรรษที่ 15 การเดินทางมาที่เทรวิโซ่สามารถมาโดยรถไฟเมืองนี้ตั้งอยู่ประมาณ 40 นาทีจากเวนิส รับรองว่าเมืองนี้สถาปัติมากรรมของมหาวิหารและโบสถ์อีกมากมายให้คุณได้ไปเดินเสพศิลป์ ท่องประวัติศาสตร์ศิลป์ผ่านผลงานการสร้างสรรค์จากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้แน่นอน
7. มิลาน (Milan)
รูปปั้นประดับรอบๆ มหาวิหาร 2,249 ตัวเป็นมหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการสักการะพระแม่มาเรีย การเดินทางในเมืองมิลานสามารถเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน รถรางหรือรถบัส แต่การเดินทางต้องระวังตัวกันสักหน่อยเนื่องจากสิ่งที่ขึ้นชื่อเหมือนกันก็คือหัวขโมยล้วงกระเป๋านั้นเอง แต่อย่าเพิ่งถอดใจกันไปเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณควรจะมา คือ มหาวิหารดูโอโม่” (Duomo di Milano) ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลาน โบสถ์แห่งนี้เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคผู้ยิ่งใหญ่ สวยงาม เป็นอันดับ 3 ของโลก ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 500 กว่าปี โดยมีสถาปนิกชื่อดังคอยคุมการก่อสร้างชื่อดังอยู่ คือ ลีโอนาโด ดาวินชี “มหาวิหารดูโอโม่” มีการประดับประดาไปด้วยรูปปั้นกว่า 3,200 รูปที่สวยงาม และมียอดรวม 135 ยอด จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมิลาน การเดินทางมาที่ มหาวิหารดูโอโม่สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Duomo ด้วยสาย M1/M3 สถานที่ถัดมาที่เห็นเด่นเป็นสง่า คือ Palazzo Carignano เป็นตึกสีน้ำตาลแดงกลางเมือง เดินเข้าไปด้านในก็จะเจอกับตึกสีน้ำตาลแดงล้อมรอบเราเอาไว้เข้ามาข้างในจะเป็นลานกว้างๆ และเป็นแหล่งรวมพิพิธภัณฑ์ 3 – 4 พิพิธภัณฑ์เอาไว้ที่เดียว มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ด้านหลังมี Royal Palace of Turin แต่ก่อนเป็นศูนย์รวมการปกครอง และสมัยก่อนได้ใช้อาคารนี้เป็นป้อมปราการ อายุเก่าแก่หลายร้อยปี ที่นี่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปมุมกว้างออกมาสวยมากเพราะได้ background เป็นตึกสวยๆ โค้งรับพอดีกรอบภาพ การเดินทางใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายเดียวกันกับมหาวิหารดูโอโม่ได้ และปิดท้ายกันที่แหล่งช้อปปิ้งในมิลาน มาเมืองแฟชั่นจะไม่ได้เสื้อผ้ากลับไปได้อย่างไร สถานที่ช้อปปิ้งที่แนะนำ คือ Galleria Vittorio Emanuele มีลักษณะเหมือนกับ Community Mall ตัวอาคารออกแบบได้สวยงามตามสไตล์อิตาลี สีของอาคารออกสีขาวๆ เทาๆ ด้วยวัสดุของอาคาร และด้านในเป็นลานกว้างมีโดมสูงโปร่งอยู่ตรงกลาง พอให้แสงแดดสาดเข้ามาในตอนกลางวัน ให้ความรู้สึกเหมือน shopping outdoor แต่ไม่ร้อน มีร้านค้าขายสินค้าแบรนด์เนมดังระดับโลกไว้ที่นี่ แล้วยังมีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ให้คุณได้นั่งพักหลังจากช้อปปิ้งเสร็จแล้ว หากมีเวลาลองเดินเข้าตรอกซอกซอย แวะชิมพัฟฟ์ชื่อดังของมิลาน (Luini) หรือชิมเจลาโต้อิตาเลี่ยนต้นตำหรับแท้ๆ ได้บรรยากาศดีแท้ หรือจะเดินเล่นเลียบถนน Vie Dente ที่มักจะมีการแสดงเปิดหมวก มาให้ชมกันอย่างครึกครื้นในตอนเย็น
อิตาลี ยังมีที่เที่ยวสวยๆ เก๋ๆ อีกเยอะมาก ร้านอาหารก็อร่อยๆ เพียบ ถึงจะเป็นสไตล์อิตาเลี่ยนแท้ แต่รับรองว่า ถูกปากคนไทยอย่างเราแน่นอน