CONQUER THE HIMALAYA คนตัวเล็กๆ กับการเดินทางไปพิชิตยอดเขาหิมาลัย

Travel Stories
27 ก.พ. 67
638
0

“คนตัวเล็กๆ กับการเดินทางไปพิชิตยอดเขาหิมาลัย”

หิมาลัยคงเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่เหล่านักผจญภัยหลายคนใฝ่ฝัน ด้วยความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ... เราเองก็เช่นกัน

ทริปนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเดินทางมาพิชิตหิมาลัย แต่นี่คือครั้งที่ 2 กับเส้นทางใหม่ที่ชื่อว่า “Langtang” ที่ประเทศเนปาล จริงๆ หิมาลัยสามารถเห็นได้หลายประเทศไม่ว่าจะเป็น อินเดีย เนปาล จีน หรือแม้กระทั่งเมียนมา แต่ที่เราเลือกมาเส้นทางเนปาลเพราะว่าที่นี่มีหนึ่งในเดสทิเนชั่นยอดฮิตของเหล่านักพิชิตยอดเขา  อย่าง Mount Everest ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก อันตราย และพิชิตยากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทว่าเส้นทาง Langtang ที่เราเลือกจะไปไม่ได้อยู่ใน Route ของ Everest แต่เป็นอีกด้านหนึ่งที่อยู่ในเทือกเขาหิมาลัยเหมือนกัน

แล้วทำไมถึงเลือกเส้นทางนี้?

อย่างแรกเลยคือเป็นเส้นทางที่ใช้เวลาเดินไม่นานมาก ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป แถมในตอนที่เราไปนักท่องเที่ยวก็ยังไม่ได้ฮิตมากนักถ้าเทียบกับเส้นทางดังๆ อย่าง ABC (Annapurna Base Camp) หรือ EBC ( Everest Base Camp)

เราเริ่มต้นเดินทางโดยบินมาลงที่เมือง Kathmandu เมืองหลวงของประเทศเนปาล ในช่วงที่เรามาคือช่วงฤดูหนาวปลายปีในเดือนธันวาคม จำได้ว่าสัมผัสแรกที่ได้แตะอากาศหนาวเย็นที่เมืองหลวงแห่งนี้ ทำเอาหวั่นใจเล็กน้อย เพราะขนาดเมืองหลวงยังหนาวขนาดนี้ แล้วหิมาลัยที่เราจะไปจะหนาวขนาดไหนกันนะ?

ในวันแรก เราเลือกที่จะเดินเล่นในเมืองหลวง เดินซื้อของที่จำเป็นในการพิชิตยอดเขาที่ย่าน Thamel ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และร้านขายอุปกรณ์เดินทางมากมาย ถ้าใครเคยมาจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของเหล่านักเดินทางที่มารวมตัวกันที่นี่

“คุณมีธงมนต์ไหม?” อีกหนึ่งสิ่งที่เราจำเป็นต้องซื้อไปนอกเหนือจากอุปกรณ์ที่เรายังขาดนั่นก็คือ ธงมนต์ เราตั้งใจว่าจะเอาธงนี้ไปผูกที่ยอดเขาหิมาลัย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเรานำธงนี้ไปผูก คำอวยพรของเราจะส่งไปถึงพระเจ้าด้วยสายลมของหิมาลัย

 

วันรุ่งขึ้นเราก็ออกเดินทางไปยังเมือง Syabru Besi เรานั่งรถบัสกันทั้งวันผ่านถนนคดเคี้ยวและภูเขาหลายลูก เพื่อที่จะไปนอนพัก 1 คืน และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางของจริงในวันถัดไป

การเดินทางครั้งนี้ของเรากับเส้นทาง Langtang จะใช้เวลาเดินทั้งหมด 6 วัน โดยวันแรกเราต้องเดิน 7-8 ชั่วโมง ไปยังหมู่บ้าน Lama Hotel ที่ระดับความสูง 2,420 เมตร

วันที่ 2 เดินทางต่ออีก 6-7 ชั่วโมง ไปยัง Langtang Village

วันที่ 3 เดินทางอีก 4-5 ชั่วโมง ไปยัง Kyanjin Gompa

วันที่ 4 เป็นวันที่เราจะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในทริปนี้ Kyanjin Ri ที่ระดับความสูง 4,773 เมตร

และอีก 2 วันที่เหลือคือวันเดินทางกลับ

เมื่อวันที่เริ่มออกเดินทางในช่วง 2 วันแรก เราอาจจะยังไม่ได้เข้าใกล้คำว่าหิมาลัยมากนัก เพราะตลอดเส้นทางยังคงเห็นต้นไม้สีเขียวตลอดทั้งทาง แต่ความชันและความยากก็เอาเรื่องอยู่ จากที่คิดว่าน่าจะไม่ยากมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็หนักพอสมควรสำหรับเรา มีหลายครั้งที่ท้อจนแอบพูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่าเรามาทำอะไรกันนะ? แต่เมื่อเรามาแล้ว ความตั้งใจนั้นก็พาตัวเองเข้าใกล้มันไปเรื่อยๆ

การเดินทางในแต่ละวัน เราต้องแวะพักกินน้ำกินข้าวกันในกระต๊อบเล็กๆ กลางเขา ที่นักเดินทางจะเรียกกันว่า Tea House แต่ละบ้านก็จะมีของขายคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือข้าวที่เป็นมังสวิรัติ หรือบางร้านที่ดีหน่อยก็จะมีมาม่าขาย แล้วในแต่ละคืนการเข้าพักของเราก็จะเป็นบ้านของชาวบ้านที่เป็นเหมือนชาวทิเบตที่อพยพมาอาศัยแถบนี้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำความร้อนในห้องนอน และอาบน้ำไม่ได้เพราะอากาศที่เย็นจัด มีเพียงเตาพิงในห้องกินข้าวรวมที่เราสามารถไปรับความอบอุ่นได้ที่นั่น เพราะฉะนั้นในทุกๆ เย็น จะเห็นนักเดินทางแต่ละคนมานั่งรวมกันอยู่ที่ห้องกินข้าวเพื่อหนีอากาศที่หนาวเย็นจากข้างนอก เราทำแบบนี้ทุกวันวนไปจนกระทั่งเท้าของเราได้สัมผัสหิมะเป็นครั้งแรก

การเดินทางเข้าวันที่ 3 ของเรา เข้าใกล้คำว่าหิมาลัยมากขึ้นเรื่อยๆ เราค่อยๆ เห็นภูเขาที่ใหญ่โตรายล้อม เห็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เห็นน้ำตกบนยอดเขาที่เย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง จากพื้นหญ้าต้นไม้สีเขียวที่เราเดินผ่านในตลอด 2 วัน ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว

“เรามันคนตัวเล็กจริงๆ” ทุกครั้งที่เราเดินทางมายังหิมาลัยคำพูดพวกนี้มักจะดังขึ้นในหัว เพราะความยิ่งใหญ่อลังการจนถ้าใครที่ไม่เคยเดินทางไปคงจะคิดไม่ถึง มันทำให้เรารู้สึกว่าโลกช่างยิ่งใหญ่ และเราก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง

เราเดินทางมาจนถึงวันที่เราต้องพิชิตยอดเขา แต่เพราะช่วงเวลาที่เราเดินทางมาคือช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ควรจะเดินทางมาสักเท่าไหร่ ด้วยค่อนข้างอันตราย และเป็นช่วง Low Season เราสามารถเจอได้ทั้งหิมะหนาที่ปกคลุม หรือแม้กระทั่งพายุเข้า แน่นอนว่าการเดินทางครั้งนี้เราเจอมันทั้งหมด ทำให้เราไม่สามารถขึ้นไปพิชิตยอดเขาสูงสุดตามที่ตั้งใจไว้ได้ แต่เราก็พยายามเดินทาง เพื่อไปจุดที่สูงที่สุดเท่าที่เราจะขึ้นไปได้

วิวที่มองลงไปจากบนยอดเขาที่สูงกว่า 4,000 เมตร สวยงามเกินกว่าที่ภาพถ่ายจะเก็บมาได้ มันคุ้มค่าจนเราลืมเหนื่อย และนี่ก็คงเป็นเหมือนของขวัญของนักพิชิตหลายคนที่ได้รับเป็นรางวัล ถึงแม้ว่าความตั้งใจที่พกธงมนต์ไปผูกบนยอดเขาจะทำไม่สำเร็จ แต่เราก็ได้นำไปผูกกับสะพานตรงเส้นทางเดินกลับ แล้วก็ขอพรกับพระเจ้า ขอให้เราได้กลับมาเดินทางในดินแดนนี้อีกครั้ง :)

และนี่ก็คือเรื่องราวการเดินทางเล็กๆ ที่เราได้รับ จากเส้นทางที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งความเชื่อ ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ชื่อว่า “หิมาลัย”

เรื่องและภาพ : Pigkaploy