Galápagos The Enchanted Islands of Ecuador

Travel Stories
10 มิ.ย. 67
1,449
0

ผมเชื่อว่าหมู่เกาะกาลาปาโกส ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ในเขตประเทศเอกวาดอร์ บนเส้นศูนย์สูตรที่ห่างออกไปจากทวีปอเมริกาใต้ราว 1,000 กิโลเมตร เป็นหมู่เกาะในฝันของคนรักธรรมชาติหลายๆ คน

กาลาปาโกสเกิดจากการสะสมตัวของลาวาภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีก่อน ประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ราว 20 เกาะ และยังเป็นที่มาของทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเดินทางมาที่นี่กับเรือ Beagle ของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1835 เขาเก็บตัวอย่างสรรพสัตว์และพรรณพืชไปสังเกต ก่อนจะเขียนหนังสือชื่อ The Origin of Species ขึ้นมาจากตัวอย่างของสัตว์หลายๆ ชนิดที่ปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไปของแต่ละเกาะ จนทำให้เกิดสายพันธุ์ย่อยขึ้นมากมายในแต่ละเกาะ เช่น เต่ายักษ์กาลาปาโกส ที่มีสายพันธุ์ย่อยมากถึง 14 ชนิด

กาลาปาโกสได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำ 3 สายที่ไหลมาบรรจบกัน ได้แก่ กระแสน้ำ Cromwell ที่นำพาออกซิเจนและอาหารจากมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกเข้ามา ก่อให้เกิด Upwelling ที่นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่กาลาปาโกส กระแสน้ำเย็น Humboldt หรือกระแสน้ำเปรู นำพาความเย็นจากซีกโลกใต้ผ่านชายฝั่งขึ้นมา ทำให้พบสัตว์ในเขตหนาวอย่างเพนกวินที่นี่ด้วย และกระแสน้ำอุ่น Panama ทำให้น้ำในบริเวณตอนเหนือของเกาะไม่หนาวเย็นเหมือนทางตอนใต้

การเดินทางสามารถบินผ่านทางยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา เพื่อไปต่อเครื่องบินภายในประเทศที่เมือง Quito หรือเมือง Guayaquil บินตรงไปลงที่กาลาปาโกส เรือที่ให้บริการพาชมหมู่เกาะมีทั้งเรือครูสจุผู้โดยสารนับร้อย เรือ Liveaboard จุผู้โดยสาร 20-30 คน พาเที่ยวตามเกาะกับดำน้ำตื้น และเรือ Liveaboard ที่เน้นการดำน้ำแบบ Scuba ซึ่งจะล่องเรือขึ้นเหนือไปถึงเกาะ Wolf และ Darwin ที่อยู่ห่างไกล และเป็นจุดที่พบฝูงฉลามหัวค้อนนับร้อยตัวได้บ่อยที่สุด โปรแกรมล่องเรือมีตั้งแต่ 4-5 วัน ไปจนถึง 2 สัปดาห์ ถึงจะเรียกได้ว่าไปทั่วเกือบครบทั้งหมู่เกาะ​​ (ชาร์ลส์ ดาร์วินใช้เวลา 5 สัปดาห์ในการสำรวจและเก็บตัวอย่างบนหมู่เกาะแห่งนี้)

นักดำน้ำที่อยากมาที่นี่ ผมแนะนำว่าควรเป็นผู้มีประสบการณ์มากพอสมควร เพราะแทบทุกไดฟ์ต้องเจอกับกระแสน้ำค่อนข้างแรง และเมื่อจบไดฟ์แล้วก็ต้องลอยตัวพักน้ำออกไปในทะเลเปิดที่บางครั้งมีคลื่นลมค่อนข้างใหญ่จากกระแสน้ำในมหาสมุทร เรือทุกลำมีอุปกรณ์ติดตามตัวด้วยสัญญาณจีพีเอสให้กับนักดำน้ำทุกคน (ตอนผมไปกาลาปาโกสครั้งแรกใน ค.ศ. 2005 ก็มีใช้แล้ว) การลงดำน้ำที่กาลาปาโกสนั้น เราแทบคาดเดาไม่ได้ว่าจะพบกับอะไร โมเมนต์ที่น่าประทับใจอาจเกิดขึ้นในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในช่วงเปลี่ยนผ่านของกระแสน้ำ ขณะที่ในบางไดฟ์ซึ่งเราลงน้ำไปที่เดียวกัน แต่ไม่มีกระแสน้ำ ก็อาจเป็นไดฟ์ที่เงียบเหงาจนดูเหมือนไร้ชีวิตก็เป็นได้

แม้จะมีกฎระเบียบเข้มงวด แต่กาลาปาโกสก็ยังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งจากสัตว์ต่างถิ่นที่ถูกนำมาปล่อยในสมัยเป็นอาณานิคม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทางการเอกวาดอร์พยายามลดจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติ แต่ก็บริหารจัดการให้มีรายได้คงเดิมด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเกาะเพิ่มขึ้น จากเดิม 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคน เป็น 200 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคน อัตราใหม่นี้จะเริ่มในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2024 บวกกับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือที่รับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้การไปดำน้ำที่กาลาปาโกสทุกวันนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 250,000-300,000 บาทต่อคนต่อสัปดาห์ ไม่รวมค่าเดินทางและค่าทิป

แต่ด้วยความโดดเด่นของธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก ทำให้กาลาปาโกสยังคงเป็นหมู่เกาะในฝันของนักเดินทางจากทั่วโลกที่ปรารถนาจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต

Darwin’s Arch เสาหินโค้งที่เคยเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่เกาะกาลาปาโกส อยู่ใกล้กับเกาะ Darwin ที่ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติกับชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้ให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการชาวอังกฤษ ทุกวันนี้ Darwin’s Arch เหลือเพียงเสาหิน 2 ต้น ส่วนสะพานโค้งที่อยู่ด้านบนนั้นได้พังทลายลงเนื่องจากการกัดเซาะตามธรรมชาติ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันจึงเรียกเสาหินที่เหลือนี้ว่า เสาแห่งวิวัฒนาการ หรือ The Pillars of Evolution

กาลาปาโกส คือหมู่เกาะแห่งภูเขาไฟที่เต็มไปด้วยปากปล่องภูเขาไฟน้อยใหญ่ อย่างเช่นบนเกาะ Bartolomé นี้ เราจะเห็นปากปล่องภูเขาไฟน้อยใหญ่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ที่นี่มีข้อกำหนดที่เคร่งครัดในเรื่องการเข้าไปสัมผัสธรรมชาติ พื้นที่หลายๆ แห่งทำทางเดินไม้ไว้ให้นักท่องเที่ยว และห้ามเดินออกไปนอกทางเดิน

การเดินทางสามารถต่อเครื่องบินภายในประเทศที่เมือง Quito หรือเมือง Guayaquil บินตรงไปลงที่กาลาปาโกส ซึ่งมีสนามบิน 2 แห่ง คือ Seymour Airport บนเกาะ Baltra และ San Cristóbal Airport บนเกาะ San Cristóbal ทั้งนี้ก่อนจองตั๋ว เราต้องเช็กตารางให้แน่นอนว่า เรือที่เราจะไปล่องเที่ยวชมหมู่เกาะกาลาปาโกสนั้นเทียบท่าอยู่ที่เกาะแห่งไหนในช่วงเวลาที่เราไป จะได้ไม่พลาด อีกทั้งเรือที่ให้บริการพาเที่ยวชมนั้นมีจำนวนค่อนข้างจำกัด บวกกับการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว การเดินทางแบบไปหาที่พักหรือว่าทัวร์เอาดาบหน้าจึงเสี่ยงมาก ไม่เช่นนั้นการเดินทางไปกาลาปาโกสก็อาจหยุดลงแค่ในบริเวณเมืองบนเกาะหลักๆ เพียงแค่นั้น ตัวเมืองของหมู่เกาะกาลาปาโกสมีผู้คนตั้งบ้านเรือนอยู่บนเกาะหลักเพียงไม่กี่เกาะ อย่างเช่นที่เมือง Puerto Ayora ทางตอนใต้ของเกาะ Santa Cruz ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Charles Darwin Research Station และเมือง Puerto Baquerizo Moreno ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ San Cristóbal ส่วนเกาะอื่นๆ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เขตสงวนรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ป่าที่ไม่มีผู้คนตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่

เต่ายักษ์กาลาปาโกส เป็นที่มาของชื่อหมู่เกาะกาลาปาโกส ซึ่งในภาษาสเปนหมายถึงเต่ายักษ์ที่อาศัยอยู่บนบก กระดองของเต่ายักษ์กาลาปาโกสที่พบในแต่ละเกาะนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะการกินอาหารที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศที่อาศัย บางชนิดเว้าตรงคอเพื่อให้สามารถยืดคอออกมากินใบไม้ที่อยู่สูงได้ เต่ายักษ์นี้แบ่งสายพันธุ์ย่อยได้ถึง 14 ชนิด และบางชนิดย่อยได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เต่ายักษ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเกาะนี้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของทฤษฎีการคัดสรรโดยธรรมชาติ หรือ Natural Selection อันโด่งดัง นอกจากนั้นเต่ายักษ์ยังถือเป็นสัตว์บกที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดชนิดหนึ่ง คุณย่า Harriet เต่าตัวหนึ่งในคอลเลคชั่นที่ชาร์ลส์ ดาร์วินนำกลับมาจากกาลาปาโกส และสุดท้ายไปอยู่ที่สวนสัตว์ออสเตรเลีย ตายลงใน ค.ศ. 2006 เมื่ออายุ 176 ปี ขณะที่ดาร์วินเสียชีวิตใน ค.ศ. 1882 เมื่ออายุ 73 ปี

เกาะ Wolf มาจากชื่อของ Franz Theodor Wolf นักธรณีวิทยาชาวเยอรมันที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่เกาะกาลาปาโกสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นเกาะภูเขาไฟที่มีรูปทรงแปลกตาและมีความน่าสนใจทางธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก เกาะ Wolf ตั้งอยู่ใกล้เกาะ Darwin ในพื้นที่อันห่างไกลของหมู่เกาะกาลาปาโกส และเป็นจุดหนึ่งที่พบฝูงฉลามหัวค้อนจำนวนมากได้บ่อยที่สุด

สิ่งที่นักดำน้ำใฝ่ฝันว่าจะพบเห็นสักครั้งในชีวิตเมื่อมาเยือนหมู่เกาะกาลาปาโกส คือฝูงปลาฉลามนานาชนิด ที่มารวมตัวกันอย่างหนาแน่นในบริเวณเกาะ Wolf และ Darwin โดยเฉพาะฝูงฉลามหัวค้อนที่ในบางครั้งอาจอยู่รวมกันนับร้อยตัว เคลื่อนฝูงผ่านเข้ามาในห้วงน้ำสีครามเข้มและว่ายน้ำผ่านศีรษะของเราไป หรือว่าว่ายน้ำเข้ามาใกล้กับแนวปะการังเพื่อให้ปลาในกลุ่มปลาผีเสื้อที่เรียกว่า Barberfish เข้ามาทำความสะอาดร่างกาย

นอกจากนี้ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม เราจะมีโอกาสพบกับฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีที่ในบางครั้งมารวมตัวกันใกล้ๆ กับเกาะ Darwin นับสิบตัว ในบางไดฟ์เราอาจพบฉลามวาฬพร้อมๆ กันหลายๆ ตัว และอาจพบฉลามหัวค้อนนับร้อยๆ ตัวได้เป็นปกติ ส่วนฉลามขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฉลาม Galápagos หรือว่าฉลาม Silky Shark ก็สามารถพบเห็นได้บ่อยๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนที่จบไดฟ์แล้วลอยตัวทำ Safety Stop ออกไปในทะเลเปิด บางครั้งเราจะพบฝูง Silky Shark มาว่ายวนอยู่รอบๆ ตัวเรา หรือแม้กระทั่งยามค่ำคืนในวันที่เราจอดเรืออยู่ข้างเกาะ Darwin ฝูง Silky Shark ก็มาวนเวียนอาศัยแสงไฟจากท้ายเรือเพื่อหากินปลาขนาดกลางที่ว่ายเข้ามาตอมไฟรอบเรือเพื่อกินลูกปลาตัวเล็กๆ ที่มากินแพลงก์ตอนอีกที

เมื่อมองจากระยะใกล้ เราจะเห็นส่วนหัวที่แผ่กว้างออกของฉลามหัวค้อนได้อย่างชัดเจน ฉลามหัวค้อนที่พบในบริเวณเกาะ Wolf และ Darwin ส่วนใหญ่เป็นฉลามหัวค้อนพันธุ์ Scalloped Hammerhead ที่มักจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่ละตัวมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 เมตร แม้ว่าฉลามหัวค้อนจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูน่ากลัว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นฉลามที่ค่อนข้างตื่นตกใจง่าย โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่ได้ยินเสียงฟองอากาศที่เราหายใจออกมาผ่านอุปกรณ์ Scuba

ปลากระเบนนก หรือ Spotted Eagle Ray เป็นปลาขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในหมู่เกาะกาลาปาโกส บ่อยครั้งที่เราพบฝูงปลากระเบนนกนับสิบตัวว่ายน้ำมาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในบริเวณจุดดำน้ำที่ชื่อว่า Cousin Rock

สิงโตทะเลกาลาปาโกส ขณะลอยตัวอยู่ท่ามกลางฝูงปลา Salema นับพันๆ ตัว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้มีโอกาสพบฝูงปลา Salema ฝูงใหญ่ๆ ที่ในบางครั้งมีจำนวนมากมายราวกับพายุหมุนใต้น้ำเช่นนี้ ภาพนี้ผมถ่ายเมื่อไปเยือนหมู่เกาะกาลาปาโกสครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005

นกบูบี ลอยตัวอยู่ที่ผิวน้ำและจ้องลงมาที่ผมซึ่งกำลังพักน้ำอยู่ในระดับความลึกเพียง 3 เมตรจากใต้ผิวน้ำบริเวณข้างเกาะ Darwin นกชนิดต่างๆ ในหมู่เกาะกาลาปาโกสค่อนข้างคุ้นเคยกับคน และบางครั้งอาจเข้ามาอยู่นิ่งๆ ในระยะใกล้ชิดจนใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายภาพนกได้อย่างสบายๆ

Galápagos Penguin เป็นนกเพนกวินเพียงชนิดเดียวในโลกที่อาศัยอยู่บนเส้นศูนย์สูตร สาเหตุที่นกเพนกวินสามารถอาศัยอยู่บนเส้นศูนย์สูตรซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะกาลาปาโกสได้ ก็เพราะว่ากระแสน้ำเย็นเปรูที่ไหลมาจากทางขั้วโลกใต้นั้นทำให้อุณหภูมิน้ำในบริเวณนี้มีสภาพหนาวเย็นกว่าในเขตร้อนทั่วไป

Flightless Cormorant หรือ Galápagos Cormorant เป็นนกกาน้ำประจำถิ่นที่พบเฉพาะบนเกาะ Fernandina และบางพื้นที่บนเกาะ Isabela ในบริเวณหมู่เกาะกาลาปาโกส นกชนิดนี้เป็นนกกาน้ำเพียงชนิดเดียวในโลกที่บินไม่ได้ เนื่องจากปีกหดเล็กสั้นลงเพราะไม่มีผู้ล่า ทำให้ไม่จำเป็นต้องบินเพื่อหนีสัตว์นักล่า หรือว่าต้องย้ายถิ่นฐานไปไหน และปีกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนนกนั้นกลายเป็นอุปสรรคกับการดำน้ำลงไปจับปลา การปรับตัวหลายชั่วรุ่นที่ผ่านมาจึงทำให้พวกมันกลายเป็นนกที่ไม่สามารถบินได้

บริเวณช่องแคบระหว่างเกาะ Wolf ทางด้านเหนือของหมู่เกาะกาลาปาโกส เป็นช่องแคบที่มีกระแสน้ำแรงไหลผ่านตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เราลงไปดำน้ำตื้นและปล่อยตัวให้ลอยไปตามกระแสน้ำ จะพบกับโลมาได้เสมอ

Galápagos Penguin เป็นนกเพนกวินชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนใจกลางป่าโกงกางของหมู่เกาะกาลาปาโกส  ด้วยอาศัยอิทธิพลของกระแสน้ำเย็นเปรูที่ไหลผ่านมาจากขั้วโลกใต้

Marine Iguana สามารถดำน้ำลงไปกินสาหร่ายและตะไคร่ใต้ผืนน้ำได้เป็นเวลานานๆ แม้ว่าหน้าตาของมันจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับสัตว์ประหลาดยักษ์ในเรื่อง Godzilla จากญี่ปุ่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว Marine Iguana มักโดนสิงโตทะเลแกล้งดึงหางเล่นเป็นประจำเวลาที่กำลังก้มหน้ากินสาหร่ายอยู่ใต้ทะเล

Marine Iguana นอนอาบแดดเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น หลังจากที่ดำน้ำลงไปกินพืชน้ำจำพวกสาหร่ายและตะไคร่ที่เกาะอยู่ตามพื้นหินใต้ทะเล Marine Iguana เป็นสัตว์กินพืชที่รักสงบ แม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูน่ากลัวก็ตาม

นกบูบีตีนฟ้า เป็นดาวเด่นตัวหนึ่งของหมู่เกาะกาลาปาโกส เพราะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูตลกและเท้าสีฟ้าอันสะดุดตา ในช่วงเวลาจับคู่ นกบูบีตีนฟ้าจะมีท่วงท่าในการจีบกันด้วยการยกเท้าและเต้นรำ ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนที่มาเยือนกาลาปาโกสใฝ่ฝันจะได้เห็นด้วยตาตนเองสักครั้งในชีวิต

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนหมู่เกาะกาลาปาโกสทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัด เรือทุกลำและนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มจะมี Naturalist ที่ผ่านการอบรมคอยควบคุมดูแล ห้ามนำขยะขึ้นไปบนเกาะ ห้ามใช้ขวดน้ำพลาสติก นักท่องเที่ยวต้องมีกระติกน้ำของตนเอง และห้ามสูบบุหรี่บนเกาะเด็ดขาด เพราะเกรงว่าก้นบุหรี่จะทำให้เกิดเพลิงไหม้และไปรบกวนสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ นอกจากนี้ยังห้ามพูดคุยเสียงดังส่งเสียงรบกวนสัตว์และคนอื่นด้วย

การเดินบนเกาะในบางพื้นที่มีทางไม้ให้เราเดิน ห้ามเดินออกไปนอกทาง สิ่งสำคัญที่ Naturalist คอยย้ำเตือนเสมอ คือไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิ้งก่าหรือเต่าที่พยายามชูคอกินใบไม้ที่อยู่สูงเกินเอื้อม ก็ห้ามเข้าไปโน้มกิ่งไม้ให้ต่ำลงเพื่อป้อนให้กิน ซึ่งจะขัดต่อทฤษฎีในการวิวัฒนาการ หรือในบางกรณีที่เรียกว่า Facultative Siblicide ซึ่งมักเกิดขึ้นในภาวะอาหารขาดแคลน และมักเกิดกับนกบูบีที่วางไข่เพียง 1-2 ฟองเท่านั้น แต่ถ้ามีไข่ฟองที่ 3 แล้วเกิดลูกนกตัวที่ 3 ออกมา ลูกนกตัวที่อ่อนแอที่สุดจะถูกขับออกจากรัง ไม่ได้รับอาหารและจะตายลงในที่สุด ถ้าหากนักท่องเที่ยวสักคนเกิดสงสารลูกนกที่กำลังจะอดตายและจับมันกลับเข้าไปในรังใหม่ ลูกนกทั้ง 3 ตัวนั้นก็จะอดตายยกรังทีเดียว สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องพึงระลึกไว้เสมอ คือต้องทำตัวเสมือนไม่มีตัวตน คอยเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ โดยไม่นำความรู้สึกส่วนตัวไปตัดสินหรือเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า

 

เรื่องและภาพ : นัท สุมนเตมีย์